แนวข้อสอบ งบประมาณ จัดซื้อจัดจ้าง
การจัดทำงบประมาณ
1. “แผนเบ็ดเสร็จ” ซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่ง รวมถึง
การกะประมาณการบริหารกิจกรรม โครงการและค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นใน
การสนับสนุน” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดทำแผน ข. การควบคุมภายใน
ค. การบริหารความเสี่ยง ง. งบประมาณ
ตอบ ง. ความหมายของงบประมาณ หมายถึง แผนเบ็ดเสร็จ ซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่ง รวมถึงการกะประมาณการบริหารกิจกรรม โครงการ และค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุน การดำเนินงานให้บรรลุตามแผนนี้ย่อมประกอบด้วย การทำงาน 3 ขั้นตอน คือ (1) การจัดเตรียม (2) การอนุมัติ และ (3) การบริหาร
2. งบประมาณมีความสำคัญและประโยชน์ต่อการบริหารอย่างไร
ก. เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน
ข. เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพ
ค. เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. งบประมาณมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร หน่วยงานสามารถนำเอางบประมาณมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงานให้เจริญก้าวหน้า ความสำคัญและประโยชน์ของงบประมาณมีดังนี้
1) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารหน่วยงาน
2) ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหน่วยงาน
3) เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้มีประสิทธิภาพ
4) เป็นเครื่องมือกระจายทรัพยากร และเงินงบประมาณที่เป็นธรรม
5) เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์งานและผลงานของหน่วยงาน
3. งบประมาณโดยทั่วไปจะมีกำหนดระยะเวลาเท่าใด
ก. 3 เดือน ข. 6 เดือน
ค. 1 ปี ง. 4 ปี
ตอบ ค. ตามปกติงบประมาณที่ดีควรมีระยะเวลาเหมาะสมตามสถานการณ์ ไม่สั้น ไม่ยาวเกินไป โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี
4. ข้อใดกล่าว ถูกต้อง เกี่ยวกับระยะเวลาของงบประมาณแผ่นดินของราชการ
ก. เริ่มเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม
ข. เริ่มเดือนเมษายนถึงเดือนมีนาคม ของปีถัดไป
ค. เริ่มเดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤษภาคม ของปีถัดไป
ง. เริ่มเดือนตุลาคม ถึงเดือนกันยายน ของปีถัดไป
ตอบ ง. การเริ่มต้นใช้งบประมาณจะเริ่มในเดือนใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน เช่น งบประมาณแผ่นดิน เริ่มเดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนของปีต่อไป งบประมาณเงินรายได้ของสถานศึกษาใช้ตามปีการศึกษา เป็นต้น
5. ข้อดีของการตั้งงบพิเศษ นอกเหนือจากเงินงบประมาณ คืออะไร
ก. มีโอกาสนำเงินมาใช้จ่ายง่ายเกินไป
ข. ช่วยให้เกิดความสะดวกในการใช้จ่ายบางประเภท
ค. ทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแบบแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน
ง. ข้อ ข. และ ค. ถูก
ตอบ ข. ในบางโอกาสก็ยังมีความจำ เป็นที่จะต้องแยกตั้งเงินไว้ต่างหากเป็นเงินพิเศษนอกเหนือจากงบประมาณ เช่น งบกลาง งบราชการลับ ซึ่งถ้ามีจำนวนไม่มากเกินไปก็มักจะไม่เป็นภัย ทั้งยังช่วยให้เกิดความสะดวกบางอย่างด้วย แต่ถ้าการตั้งงบพิเศษมีมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อการบริหารงบประมาณ เพราะจะทำให้เกิด โอกาสแยกเงินมาใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น และยังทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไม่มีแผนและเป้าหมายที่ชัดเจน
6. ข้อใดมิใช่ กระบวนการดำเนินงานในเรื่องงบประมาณ
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การกำหนดวงเงินงบประมาณ ง. การบริหารงบประมาณ
ตอบ ข. การทำงบประมาณ ผู้ทำงบประมาณต้องเข้าใจกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจัดเตรียม งบประมาณรายรับ การจัดตั้งงบประมาณรายจ่าย การอนุมัติและบริหารงบประมาณ การรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งจะเกี่ยวพันกับทุกหน่วยงาน กระบวนการดำเนินงานในเรื่องงบประมาณทั้งหมดนี้ อาจแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การจัดเตรียมงบประมาณ 2) การอนุมัติงบประมาณ 3) การบริหารงบประมาณ
7. การกำหนดวงเงินและจัดสรรงบประมาณ จะกระทำได้เมื่อเสร็จจากขั้นตอนใด
ก. ประมาณการรายรับและรายจ่าย ข. กำหนดแนวนโยบายงบประมาณ
ค. รับนโยบายงบประมาณแล้ว ง. จัดทำคำขอตั้งงบประมาณ
ตอบ ค. เมื่อได้รับนโยบายงบประมาณแล้วจะต้องมีการพิจารณา กำหนดวงเงินและจัดสรรวงเงินตาม
แนวนโยบายงบประมาณเป็นขั้นตอนต่อไป
8. คณะกรรมการบริหารงบประมาณและการเงิน จะพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายโดยพิจารณาในเรื่องใด
ก. ความเหมาะสม ความสอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
ข. นโยบายงบประมาณ
ค. ความพร้อมของหน่วยงานที่จะปฏิบัติ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. คณะกรรมการบริหารงบประมาณและการเงิน พิจารณา รายละเอียดงบประมาณที่หน่วยงานต่างๆ ทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายขึ้นมา โดยพิจารณาด้านความเหมาะสม ความสอดคล้องต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ นโยบายงบประมาณ ความพร้อมของหน่วยงานที่จะปฏิบัติงาน อาจมีการปรับลด
งบประมาณได้ตามความเหมาะสม และแก้ไปปรับปรุงคำของบประมาณทำเป็นเอกสารงบประมาณเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
9. ข้อใดเป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณางบประมาณ
ก. พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย ข. พิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย
ค. ปรับลดงบประมาณ ง. แก้ไขปรับปรุงคำของบประมาณ
ตอบ ก. คณะกรรมการพิจารณางบประมาณ พิจารณาร่างงบประมาณรายจ่าย โดยพิจารณารายละเอียดแผนงาน งาน และโครงการต่างๆ ว่าเหมาะสมเพียงใด สมควรอนุมัติหรือไม่
10. “การพิจารณางบประมาณที่หน่วยงานเสนอขึ้นมาโดยผู้มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณ มีอำนาจวิเคราะห์ตัดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องอยู่ในวงเงินงบประมาณที่เสนอมา” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การบริหารงบประมาณ ง. การพิจารณางบประมาณ
ตอบ ข. การอนุมัติงบประมาณ หมายถึง การพิจารณางบประมาณที่หน่วยงานเสนอขึ้นมา โดยผู้มีอำนาจในการอนุมัติงบประมาณ มีอำนาจที่จะวิเคราะห์ตัดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้ แต่ต้องอยู่ภายในวงเงินงบประมาณที่เสนอมา
11. “การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน งาน และโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยการควบคุมการเบิกจ่ายเงิน การตรวจสอบตามระเบียบที่หน่วยงานกำหนด” หมายถึงข้อใด
ก. การจัดเตรียมงบประมาณ ข. การอนุมัติงบประมาณ
ค. การบริหารงบประมาณ ง. การพิจารณางบประมาณ
ตอบ ง. การบริหารงบประมาณ หมายถึง การควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน งาน และโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณ เพื่อป้องกันการรั่วไหล โดยการควบคุมการเบิกจ่ายเงิน การตรวจสอบตามระเบียบที่หน่วยงานกำหนด
12. ข้อใดเป็นขั้นตอนการบริหารงบประมาณที่ถูกต้อง
ก. การตรวจสอบ-การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน
ข. การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน-การตรวจสอบ-การรายงาน
ค. การทำแผน-การตรวจสอบ-การใช้งบประมาณตามแผน-การรายงาน
ง. การตรวจสอบ-การทำแผน-การใช้งบประมาณตามแผน-การรายงาน
ตอบ ข. การบริหารงบประมาณ มีรายละเอียดตามขั้นตอนดังนี้
1) การทำแผนปฏิบัติการ เมื่อหน่วยงานได้รับอนุมัติงบประมาณแล้วให้ทำแผนปฏิบัติการโดยกำหนดกิจกรรมที่จะทำ และจำนวนเงินที่จะใช้ในช่วงเวลาต่างๆ ให้เหมาะสมกับกำลังเงินที่ประมาณการจะได้รับ
2) ดำเนินการใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติการ โดยการขออนุมัติเงินตามระเบียบของหน่วยงาน
3) การตรวจสอบ เมื่อมีการเบิกจ่ายเงินไปแล้ว ต้องมีการตรวจสอบว่าได้ใช้จ่ายเงินไปตามจริงที่เบิกไปหรือไม่ การตรวจสอบจึงเป็นวิธีการสำคัญที่จะควบคุมการบริหารด้านการเงินเป็นไปตามแผนปฏิบัติการไม่รั่วไหล และให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบทางการเงิน
4) การรายงาน เป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบและประเมินผล ให้มีการรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้วเป็นระยะๆ เพื่อสามารถทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ว่ามีความคืบหน้าไปประการใดและจะต้องใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไปด้วย
13. การรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว มีความสำคัญอย่างไร
ก. เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนที่กำหนดไว้
ข. ใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไป
ค. ตรวจสอบการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติ
ง. ข้อ ก และ ข ถูก
ตอบ ง. การรายงาน เป็นวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบและประเมินผล ให้มีการรายงานผลงานที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว เป็นระยะๆ เพื่อสามารถทบทวนผลการปฏิบัติงานตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ว่ามีความคืบหน้าไปประการใดและจะต้องใช้เป็นผลในการตั้งงบประมาณในปีต่อไปด้วย
14. การประมาณการรายรับ จะใช้วิธีประมาณจากข้อใดเป็นมาตรฐานในการคำนวณ
ก. รายรับของปีปัจจุบัน ข. รายรับของปีที่ล่วงมา
ค. ค่าเฉลี่ยรายรับของ 2 ปีที่ล่วงมา ง. ค่าเฉลี่ยรายรับของ 5 ปีที่ล่วงมา
ตอบ ข. การประมาณการรายรับนั้นหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะประมาณการโดยใช้สถิติแนวโน้มประมาณการการรายรับของปีที่ล่วงมาเป็นฐานในการคำนวณ ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ที่มีรายได้และมีหน้าที่จัดเก็บรายได้ จะต้องแจ้งประมาณการรายรับของตนเองเข้ามาด้วยเพื่อที่จะได้นำ มาพิจารณาเปรียบเทียบกันกับรายการที่ได้ประมาณการไว้แล้วว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ถ้าหากมีข้อแตกต่างกันมากจะต้องมีการปรึกษาหารือ หาข้อยุติในตัวเลขประมาณการรายรับนั้นๆ เพื่อที่จะสรุปออกมาเป็นประมาณการรายรับทั้งหมดต่อไป
15. การประมาณการรายรับงบประมาณมีกี่วิธี
ก. 1 วิธี ข. 2 วิธี
ค. 3 วิธี ง. 4 วิธี
ตอบ ค. มีวิธีการกำหนดรายรับให้เหมาะสม การประมาณการรายรับงบประมาณ มีวิธีการหลายวิธี ซึ่งพอสรุปได้ 3 รูปแบบ คือ
1) วิธีการประมาณการโดยตรง เป็นวิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียดและหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนด และตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้ทั้งหมด
2) วิธีหาค่าเฉลี่ย เป็นการประมาณการโดยหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกันซึ่งอาจจะใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม
3) หารายรับของปีที่ผ่านมา เป็นวิธีการนำรายรับจริงของปีที่ผ่านมานำมาคำนวณประมาณการรายรับ ในปัจจุบันซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้ระบบเทคนิคก้าวหน้าอะไร
16. “วิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียดและหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนดและตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ก. วิธีการประมาณการโดยตรง เป็นวิธีการศึกษาถึงแหล่งรายได้ต่างๆ อย่างละเอียด และหาตัวกำหนดที่มาของรายได้ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวกำหนด และตัวแปรต่างๆ จนครบทุกตัว แล้วจึงนำมาคำนวณประมาณการรายได้ทั้งหมด
17. “วิธีการนำรายรับจริงของปีที่ผ่านมา นำมาคำนวณประมาณการรายรับ” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ค. หารายรับจริงของปีที่ผ่านมา เป็นวิธีการนำรายรับของปีที่ผ่านมานำมาคำนวณประมาณการรายรับในปัจจุบัน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้ระบบเทคนิคก้าวหน้าอะไร
18. “การหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกัน ซึ่งอาจใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม” เป็นวิธีการประมาณการรายได้วิธีใด
ก. วิธีประมาณการโดยตรง ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย
ค. การหารายรับจริงของปีที่ผ่านมา ง. ไม่มีข้อถูก
ตอบ ข. วิธีหาค่าเฉลี่ย เป็นการประมาณการโดยหาค่าเฉลี่ยการเพิ่มหรือลดของรายรับจากแหล่งต่างๆ นำมาเฉลี่ยกัน ซึ่งอาจจะใช้เวลาเฉลี่ยกี่ปีก็ได้ตามที่เห็นเหมาะสม
19. เหตุใด การจัดทำคำของบประมาณรายจ่าย จึงต้องทำให้ใกล้เคียงกับรายจ่ายที่น่าจะเป็นมากที่สุด
ก. งบประมาณมีอยู่จำกัด
ข. ทำให้หน่วยงานอื่นที่มีความพร้อมหมดโอกาสนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ค. ป้องกันการทุจริต
ง. ข้อ ก. และ ข. ถูก
ตอบ ง. จัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายให้ใกล้เคียงกับรายจ่ายที่น่าจะเป็นจริงมากที่สุด การ จัดทำงบประมาณรายจ่ายที่สูงเกินความเป็นจริงจำนวนมากเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เนื่องจากงบประมาณรายรับมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้หน่วยงานอื่นที่มีความพร้อมและความสามารถหมด โอกาสที่จะนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ การทำงบประมาณรายจ่ายที่เกินความ จริงหรือไม่เพียงพอเป็นเหตุทำให้ต้องมีการขอโอนเงิน หรือแปรเงินเปลี่ยนแปลงงบประมาณ รายจ่าย ทำให้เพิ่มภาระยุ่งยากเสียเวลา และแสดงถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การจัดซื้อจัดจ้าง
20. คณะกรรมการแต่ละคณะต้องประกอบด้วยประธานและกรรมการรวมกันอย่างน้อยกี่คน
ก. 2 คน ข. 3 คน
ค. 4 คน ง. 5 คน
ตอบ ข. คณะกรรมการแต่ละคณะให้ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอย่างน้อย 2 คน โดยปกติให้แต่งตั้งจากข้าราชการตั้งแต่ระดับ 3 หรือเทียบเท่าขึ้นไป ในกรณีจำเป็นหรือเพื่อประโยชน์ของทางราชการจะแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ข้าราชการร่วมเป็นกรรมการด้วยก็ได้ ถ้าประธานกรรมการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งข้าราชการที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นทำหน้าที่ประธานกรรมการแทน